New Ford Ranger 3.2 L Turbo
ทรงแกร่งเกินรุ่น..อัตราเร่งถึงใจ

LINE it!

      ตลาดรถกระบะแข่งขันกันดุเดือด ทำให้ New Ford Ranger ต้องมาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่มากกว่าเดิม เน้นดีไซน์รูปทรงให้ดุดันรอบคัน ภายในแต่งหรูสไตล์สปอร์ตทันสมัย พร้อมเทคโนโลยีครบ ส่วนขุมพลังดีเซลเทอร์โบขนาด 3.2 ลิตรให้กำลัง 200 แรงม้า กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่สามารถตอบสนองได้ทุกอัตราเร่งและช่วงล่างนุ่มขึ้นแต่หนึบแน่นลุยได้ทุกสภาพถนน 
 
มาดแกร่งดุดันเต็มคัน 

      รูปทรงภายนอกของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ รุ่นไวล์ดแทรค ในแบบสีส้ม ไพร์ด ออเร้นจ์ ที่มาในสไตล์ดุดัน พร้อมไฟโปรเจกเตอร์ เด่นด้วยกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมคางหมูแบบสปอร์ต ต่อเนื่องไปถึงช่องลมของกันชนหน้า และไฟตัดหมอกทรงสี่เหลี่ยมที่ติดกรอบทรงสปอร์ต 



      ส่วนล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว  พร้อมกระจกด้านข้าง ที่จับประตู ช่องลมด้านข้าง ราวเสริมขอบกระบะท้าย และไฟท้ายที่ใช้วัสดุเคลือบสีเทาดำแบบเมทัลลิก เพื่อสร้างความดุดันและโฉบเฉี่ยว  รวมถึงไฟส่องสว่างกระบะหลัง 
ภายในสไตล์เก๋งทันสมัยขึ้น

     ภายในให้สะดวกสบายมากขึ้นไม่ต่างจากรถเก๋ง  เน้นให้ทันสมัยดูโออ่าและกว้างขวางยิ่งขึ้น พร้อมหน้าจอแบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว กับแผงหน้าปัดแบบหน้าจอคู่ TFT ที่ช่วยแสดงข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลการขับขี่  ด้านความบันเทิง การควบคุมระบบปรับอากาศหรือระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ และติดช่องชาร์จไฟแบบ 230 โวลต์ 

 

   สำหรับในรุ่นไวล์ดแทรค เด่นด้วยสีส้มทูโทนเน้นความสปอร์ต โฉบเฉี่ยวและทันสมัย โดยคอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนังนุ่มกับรอยเย็บสีส้มตลอดแนว พร้อมเบาะนั่งแบบสปอร์ตตะเข็บสีส้ม โดยเบาะคนขับแบบไฟฟ้าปรับได้ 8 ทิศทาง และยังมี  Wi-Fi Hotspot ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เนตได้แม้ระหว่างเดินทาง และระบบกุญแจ MyKey 


ขุมพลังแรงทุกอัตราเร่ง 

     ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ วีจี เทอร์โบขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว รุ่นล่าสุดนี้ ที่ติดตั้งระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่และปรับปรุงหัวฉีดให้ฉีดละเอียดมากขึ้น จึงให้กำลังได้ถึง 200 แรงม้าที่3,000 รอบต่อนาที กับแรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตรที่1,750-2,500 รอบต่อนาที  พร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด

    ก่อนการทดสอบรถกระบะ New Ford Ranger 3.2 L  ซึ่งเป็นรุ่นไวล์ดแทรค ในแบบ 4X4 ที่ดูจากรูปทรงโดยรวมแล้วต้องยอมรับว่าดีไซน์ออกมาได้แกร่งดุดันทั้งคัน โดยเฉพาะกระจังหน้าจะสะดุดตาที่มีให้เลือกทั้งแบบโครเมียมกับสีเทาดำแบบเมทัลลิก  ส่วนภายในของรุ่นนี้เห็นแล้วสีสันถูกใจ ทั้งคอนโซลหน้าและเบาะนั่งสไตล์สปอร์ต  


    ในการทดสอบ New Ford Ranger 3.2 L  ช่วงแรกต้องเผชิญกับจราจรติดขัดของกรุงเทพฯ แต่ด้วยกำลังที่มีให้เหลือเฟือทำให้มีคล่องตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกตัวที่สามารถเร่งพุ่งออกไปได้อย่างน่าพอใจ หรือจะสปีดแซงรถคันอื่นสามารถทำได้ง่าย  และยังขับซอกแซกได้อย่างหายห่วง เพราะพวงมาลัยแบบไฟฟ้าทำให้หมุนคล่องเบามือเวลาขับความเร็วต่ำ หรือปรับหนืดขึ้นเองตามความเร็วที่มากขึ้น 

    และช่วงออกจากไฟแดงพอกดคันเร่งปุ๊บจะรับรู้ได้ถึงกำลังที่ปล่อยออกมาทันที โดยลองลากตั้งแต่เกียร์ 1-3  ประมาณ 2,000 รอบ ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นมา 100 กม./ชม.ที่1,800 รอบ และพอขับออกนอกเมืองได้สักพักยังคงทำความเร็วแบบขับสบาย ๆ และช่วงเร่งแซงจาก 80-120 กม./ชม.ทำได้รวดเร็ว เช่นเดียวกับเวลาเพิ่มความเร็วจาก100-120 กม./ชม. 2,100 รอบได้อย่างทันใจ 


     เมื่อหันมาใช้โหมด S แบบเปลี่ยนเกียร์เองในแบบ + -  จึงได้ลองลากรอบในแต่ละเกียร์ประมาณ 2,500 รอบขึ้นไป ทำให้สามารถเรียกกำลังออกมาได้ไวทันใจ รับรู้ได้ถึงอัตราเร่งที่ลื่นไหลส่งผลให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งเผลอแป๊บเดียวขึ้น140 กม./ชม.ที่ 2,500 รอบ 

     จากนั้นในช่วงจังหวะเร่งแซงรถคันอื่นแค่เชนท์เกียร์ลงมาที่ตำแหน่ง 5 จะรับรู้ถึงพละกำลังที่ปล่อยมาและต่อเนื่องด้วยเกียร์ 6 จะทำให้รถวิ่งพุ่งขึ้นฉิ่วอย่างเร้าใจ หรือแม้ในช่วงความเร็วลดลงไปอยู่ที่ 80 กม./ชม.ที่เกียร์ 6 ก็ยังสามารถเรียกกำลังขึ้นมาได้อย่างน่าพอใจ ไม่ได้ชักช้าแต่อย่างใด  



     สำหรับช่วงล่างแบบอิสระพร้อมคอยล์สปริง กับด้านหลังแบบแหนบซ้อน ที่เซ็ทค่าเคสปริงให้น้อยลง เพื่อให้ความนุ่มนวลขึ้นกว่าเดิม ทำให้เวลาผ่านทางขุรขระหรือรอยต่อถนนสามารถซับแรงสะเทือนได้ดี หรือวิ่งผ่านคอสะพานโดยไม่ต้องเบรกยังทรงตัวดีไม่มีอาการเป๋ พร้อมพวงมาลัยแบบไฟฟ้าทำให้สามารถเลนที่ความเร็ว 120 กม./ชม.ได้อย่างแม่นยำและให้น้ำหนักที่เหมาะมือ 


 
   มาถึงการทดสอบในรูปแบบออฟโรดที่อาศัยสนามทดสอบที่อยู่ท่ามกลางป่าเขาของกรมขนส่งทหารบก  ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 สถานี โดยสถานีแรกได้ขับผ่านเส้นทางที่เป็นลูกระนาดที่มีระยะทางยาวประมาณ 100 เมตร พร้อมกับผ่านก้อนหินขุรขระตลอดทาง  งานนี้ต้องโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4 L โดยปล่อยให้รถวิ่งแบบวอลกิ้งสปีดก็สามารถผ่านได้สบาย



     จากนั้นต้องมาเจอกับด่านน้ำท่วมขังที่อยู่ในแอ่งประมาณ 60 ซม. ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเพราะฟอร์ด เรนเจอร์ที่มีส่วนพื้นรถสูงถึง 230 มิลลิเมตร ทำให้สามารถขับขี่ลุยน้ำได้ที่ความลึกถึง 800 มิลลิเมตร และเมื่อถึงเวลาลองของจริงจึงได้จัดการเปลี่ยนมาใช้โหมดขับสี่แบบ 4 L ค่อย ๆ ขับเคลื่อนลงไปในแอ่งน้ำ แล้วเร่งรอบราว 1,500 รอบ รถจะขับเคลื่อนไปได้เรื่อย ๆ  สามารถขับลุยผ่านสายน้ำไปได้อย่างสบาย  เรียกว่าเจอถนนน้ำท่วมก็ไปได้เลยไม่ต้องห่วง   



     ต่อมาเป็นการขับไต่ทางลาดชันมุม 50 องศา เพื่อลองระบบ Hill Launch Assist โดยให้ขับขึ้นไปตามทางชันแล้วระหว่างทางจึงเหยียบเบรกให้รถหยุดนิ่งตรงทางชัน พร้อมกับยกเท้าออกจากแป้นเบรก ซึ่งรถจะหยุดนิ่งเป็นเวลา 3 วินาที จึงมีเวลาเพียงพอที่จะเร่งให้รถออกตัวบนทางชัน แต่ถ้าไม่มีระบบนี้รถก็จะไหลลงมาได้ 



      จากนั้นเป็นช่วงทางลงเขาที่มีทางลาดต่ำมุม 60 องศา ซึ่งก่อนจะขับลงได้ลองใช้ระบบ Hill Descent Control เพียงหมุนปุ่มที่มีสัญลักษณ์รูปลงเขา  พอรถเคลื่อนที่ลงให้ปล่อยขาออกจากคันเร่งและเบรก ปล่อยให้ระบบทำงาน อาศัยแค่ควบคุมพวงมาลัยไปตามทิศทาง โดยรถจะเคลื่อนลงมาอย่างช้า ๆ แบบไม่ต้องแตะเบรกเลย เพราะระบบจะทำให้การหน่วงเบรกให้เองโดยอัตโนมัติ 



     และเมื่อถึงโรงแรมจะถอยจอดสามารถทำได้ง่าย เพราะอาศัยกล้องมองหลังที่เชื่อมต่อกับหน้าจอมอนิเตอร์ขนาด 8 นิ้ว เลยมองเห็นด้านหลังได้หมด  พร้อมกับมีสัญญาณเตือนระยะทั้งหน้า-หลัง โดยมีเซ็นเซอร์คอยตรวจจับสิ่งกีดขวาง ทำให้การกะระยะถอยจอดทำได้สบาย 

     ปิดท้ายในสิ่งที่อยากให้ปรับปรุง โดยเฉพาะปุ่มสตาร์ทที่ควรจะติดตั้งมาให้ด้วย เพราะกระบะรุ่นอื่นมีให้หมดแล้ว และอีกอย่างในรุ่นดับเบิลแค็ป 4 ประตูน่าจะมีช่องแอร์ด้านหลังมาให้ด้วย จะทำให้แอร์เย็นได้ทั่วถึงมากกว่านี้  เพราะงานนี้คนนั่งหลังบ่นไปตาม ๆ กันว่าแอร์เย็นมาไม่ถึงเลยทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายต้วเท่าไหร่ 

     บทสรุปใครที่ชื่นชอบรถกระบะถ้าไม่ติดยี่ห้อฟันธงได้เลยว่าเป็นรถกระบะที่น่าขับมาก เพราะฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ เป็นกระบะที่มีรูปทรงแกร่งดุดันเท่อย่าบอกใครและยกระดับหรูให้ทันสมัยสะดวกสบายขึ้นและผนวกกับขุมพลัง 3.2 ลิตรเทอร์โบ ทำให้สมรรถนะการขับขี่ทั้งออนโรดที่เผยกำลังออกมาอย่างเต็มที่  และแบบออฟโรดที่สามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างสบาย โดยในรุ่นไวล์ดแทรคมี 4 รุ่น ราคา 925,000 -1,139,000 บาท